เจดีย์


เจดีย์ หมายถึงสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่เคารพบูชา
สถูป หมายถึงสิ่งก่อสร้างเหนือหลุมฝังศพ เพื่อบรรจุอัฐิธาตุของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อให้ลูกหลานและผู้เคารพนับถือได้สักการบูชา

  • ประเภทของเจดีย์
ตำราในพระพุทธศาสนากำหนดว่า พระเจดีย์ หรือ เจดีย์ มี 4 ประเภท

1. ธาตุเจดีย์ สิ่งก่อสร้างบรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า พระมหากษัตริย์ พระจักรพรรดิราช
2. บริโภคเจดีย์ สังเวชนียสถานอันเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า
3. ธรรมเจดีย์ คาถาที่แสดงพระอริยสัจ หรือ คัมภีร์ในพระพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎก
4. อุเทสิกะเจดีย์ ของที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศแด่พระพุทธเจ้า ไม่กำหนดว่าจะต้องทำเป็นอย่างไร เช่น สร้างบัลลังก์ให้หมายแทนพระพุทธองค์

  • ตำแหน่ง รูปแบบ หรือทรงต่างๆของเจดีย์

      มีรูปแบบของเจดีย์ 9 แบบ ได้แก่

      1.เจดีย์ประธาน
             เจดีย์ที่สร้างเป็นหลักของวัด มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเจดีย์องค์อื่นภายในวัด และสร้างอยู่ในตำแหน่งที่เด่นสมเป็นประธานแก่เจดีย์อื่น ไม่ได้หมายถึงรูปแบบของเจดีย์


      2.เจดีย์ประจำมุม
             ระบุตำแหน่งของเจดีย์ว่าอยู่ประจำมุมทั้งสี่ หรือประจำกลางด้านทั้งสี่ของเจดีย์ประธาน
             ชื่อเรียกระบุตำแหน่งที่ตั้งดังกล่าว คำว่าเจดีย์ประจำทิศยังมีอีกชื่อเรียกว่า เจดีย์ประจำด้าน (หากเจดีย์ประธานนั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยม) ทั้งเจดีย์ประจำด้านและเจดีย์ประจำมุม ยังมีที่เรียกรวมว่าเจดีย์บริวาร


      3. เจดีย์ราย
      คือ เจดีย์ที่มีขนาดเล็ก สร้างเรียงรายรอบๆบริเวณเจดีย์ประธาน โดยอยู่ถัดออกมาจากเจดีย์ประธาน เจดีย์ประจำมุม และเจดีย์ประจำทิศ


      4.เจดีย์ปราสาท
             หมายถึง รูปแบบของเรือนที่มีหลายชั้นซ้อนกัน หรือ ที่มีหลังคาลาดหลายชั้นซ้อนลดหลั่นกัน
             ตอนกลางของเจดีย์ทรงปราสาทอาจมีหรือไม่มีห้องคูหาก็ได้เรียกส่วนนี้ว่า เรือนธาตุ เป็นส่วนสำคัญที่ไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ที่ คูหา หรือ ซุ้มจระนำ 
             ที่ผนังเรือนธาตุมักมีทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่เหนือฐานเรือนธาตุเป็นชั้นซ้อน หากชั้นซ้อนนั้นเป็นหลังคาลาด ก็ต่อยอดเป็นกรวยและมักมีทรงระฆังเป็นส่วนประกอบสำคัญ แม้ว่าปราสาทมีแต่เรือนชั้นโดยไม่จำเป็นต้องมียอดแหลม


      5.เจดีย์ทรงปรางค์
             เจดีย์ที่มีทรงคล้ายดอกข้าวโพด ประกอบด้วยส่วนฐานรองรับส่วนกลางคือเรือนธาตุ และส่วนบนเป็นชั้นซ้อนลดหลั่นกัน ขึ้นไป นำมาจากรูปแบบของปราสาทขอม แต่จะเพรียวกว่าแบบขอม นิยมเรียกสั้นๆว่า พระปรางค์


      6. เจดีย์ทรงระฆัง
             มีองค์ระฆัง เป็นลักษณะเด่น โดยมีแท่นฐานรองรับอยู่ส่วนล่าง เหนือองค์ระฆังเป็นส่วนยอด มี บัลลังก์ รูปสี่เหลี่ยมต่อขึ้นไปเป็นทรงกรวยเป็น ปล้องไฉน และปลี
             เจดีย์ทรงระฆังที่มีช้างล้อมที่ฐาน  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอิทธิพลศิลปะที่แพร่หลายมาจากศิลปะลังกา นิยมเรียกว่า เจดีย์ทรงลังกา แต่กลับเรียกเจดีย์ช้างล้อม ตามลักษณะเด่นชัดที่มีช้างล้อมที่ฐาน
             เจดีย์ทรงระฆังที่ทำกลีบเล็กๆเป็นแนวตั้งไว้โดยรอบองค์ระฆังก็มี ที่เรียกว่ายอดเจดีย์ทรงกลีบมะเฟือง 
             เจดีย์ทรงระฆังที่เป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมย่อมุม ยกมุม หรือ เพิ่มมุม เรียกว่าเจดีย์ย่อมุม


      7.เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
             ลักษณะของยอดโดยตรงซึ่งคล้ายกับดอกบัวตูม บางองค์ทำกลีบบัวประดับทรงดอกบัวตูม รูปทรงของเจดีย์เพราะยอดสอบขึ้นจากส่วนล่าง เรื่อยขึ้นไปตามจังหวะของชุดฐานที่ซ้อนลดหลั่นกันเพื่อรับเรือนธาตุทรงแท่ง และยอดทรงดอกบัวตูม
             รูปแบบของเจดีย์เกิดขึ้นในสมัยศิลปะสุโขทัย นิยมสร้างกันเพียง ในช่วงเวลาสมัยศิลปะสุโขทัยเท่านั้น ความที่เจดีย์แห่งนี้มีลักษณะเฉพาะของศิลปะสุโขทัย เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นสุโขทัย


      8.เจดีย์ทรงเครื่อง
             คือ เจดีย์ทรงระฆังกลม หรือ ทรงระฆังเหลี่ยมย่อมุม ที่มีลักษณะเฉพาะที่เจดีย์ย่อมุมแบบอื่นไม่มี รวมทั้งการตกแต่งด้วยลายปูนปั้นไว้ตามองค์ประกอบต่างๆ คงเกิดขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 22 มีการประดับลวดลายปูนปั้นที่ฐานซึ่งเป็นชุดฐานสิงห์มี บัวกลุ่ม รองรับองค์ระฆัง ตัวองค์ระฆังเองก็มักมีลวดลายประดับอยู่ด้วย เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์ไม่มีลักษณะพิเศษแต่อย่างใด ต่อขึ้นไปคือ บัวกลุ่มเถา และปลี
             ลักษณะดังกล่าวบ่งถึงความแตกต่างจากเจดีย์ทรงระฆังกลมและเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยมย่อมุมโดยทั่วไป ที่ไม่มีบัวกลุ่มรับองค์ระฆังและไม่มีบัวกลุ่มเถาแทนปล้องไฉน


      9.เจดีย์ยอดมุม
             การที่เรียกเจดีย์ย่อมุม แสดงถึงลักษณะสำคัญที่แตกต่างเจดีย์ทรงระฆังกลม จำนวนมุมที่ย่อก็มักระบุอยู่ด้วย เช่น เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง เจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะที่เปลี่ยนไปของทรงระฆังจากกลมก็กลายมาเป็นเหลี่ยม ทั้งขนาดขององค์ระฆังเหลี่ยมก็เล็กลง ทำให้ได้รูปทรงเจดีย์ที่โปร่งเพรียวยิ่งกว่า 


      • ลักษณะของเจดีย์

      มี 3 ประเภทที่แบ่งได้ชัด ได้แก่


      เจดีย์ทรงโอคว่ำ
      เจดีย์ทรงโอคว่ำ หรือเจดีย์แบบสาญจี เป็นเจดีย์รูปแบบแรก ๆ ของพุทธศาสนา มีองค์ประกอบพื้นฐานครบถ้วน คือ



      1.ฐาน (บางแห่งอาจไม่มี) เพื่อยกระดับว่า เจดีย์นี้สูงศักดิ์กว่าหลุมศพธรรมดา
      2.เรือนธาตุ บางแห่งทึบตัน บางแห่งกลวงเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป รูปเคารพ หรือบรรจุสิ่งของ
      3.บัลลังก์ แสดงถึงวรรณะกษัตริย์
      4.ฉัตร (บางแห่งอาจไม่มี) เป็นเครื่องประดับบารมี




      เจดีย์ทรงลังกา แบบสุโขทัย 


      1.ฐานเขียง ฐานชั้นล่างสุด ยกพื้นเจดีย์ให้สูงกว่าพื้นดิน
      2.ฐานปัทม์ หรือฐานบัว (ปทุม) แสดงถึงดอกบัวที่รองรับพระพุทธเจ้าในทุกอิริยาบถของพระพุทธองค์
      3.บัวถลา เป็นลักษณะที่รับมาจากลังกาแต่เอาชั้นบัวหงายออก
      4.บัวปากระฆัง เป็นฐานบัวชั้นบน
      5.องค์ระฆัง หรือ เรือนธาตุ บรรจุพระพุทธรูป หรือพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระบรมอัฐิ และพระอัฐิ
      6.บัลลังก์ คงความหมายเดิม
      7.ก้านฉัตร เป็นก้านของฉัตร (ตามความหมายเดิม)
      8.บัวฝาละมี บัวคว่ำด้านบน กางกั้นฉัตรให้เรือนธาตุ
      9.ปล้องไฉน เปรียบเสมือนตัวฉัตร (ตามความหมายเดิม)
      10.ปลียอด ชี้ขึ้นฟ้า เส้นทางสู่พระนิพพาน
      11.หยาดน้ำค้าง หมายถึงรัตนะ





      เจดีย์ทรงลังกา แบบอยุธยา


      1.ฐานเขียง ฐานชั้นล่างสุด ยกพื้นเจดีย์ให้สูงกว่าพื้นดิน
      2.ฐานปัทม์ หรือฐานบัว (ปทุม) แสดงถึงดอกบัวที่รองรับพระพุทธเจ้าในทุกอิริยาบถของพระพุทธองค์
      3.บัวถลา เป็นลักษณะที่รับมาจากลังกาแต่เอาชั้นบัวหงายออก
      4.บัวปากระฆัง เป็นฐานบัวชั้นบน
      5.องค์ระฆัง หรือ เรือนธาตุ บรรจุพระพุทธรูป หรือพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระบรมอัฐิ และพระอัฐิ
      6.บัลลังก์ คงความหมายเดิม
      7.ก้านฉัตร เป็นก้านของฉัตร (ตามความหมายเดิม)
      8.บัวฝาละมี บัวคว่ำด้านบน กางกั้นฉัตรให้เรือนธาตุ
      9.ปล้องไฉน เปรียบเสมือนตัวฉัตร (ตามความหมายเดิม)
      10.ปลียอด ชี้ขึ้นฟ้า เส้นทางสู่พระนิพพาน
      11.หยาดน้ำค้าง หมายถึงรัตนะ